วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556


ประวัติและความเป็นมา


           สุริยเทพ หรือ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์  ถ้าไม่นำประวัติของท่านยุคหลัง ๆ มายึดถือ  โดยค้นประวัติไปยังความเชื่อสมัยโบราณของมนุษย์แล้ว  กลับตรงกันข้ามกับความเชื่อสมัยหลัง  คือ สมัยปัจจุบันนี้  เราถือว่า สุริยเทพ เป็นเพียงเทพเจ้าธรรมดาองค์หนึ่ง ไม่ใหญ่ไปกว่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ของพราหมณ์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และ พระพรหม  แต่ในสมัยอียิปต์เมื่อห้าพันกว่าปีมาแล้ว  ถือว่า เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ อันทรงพระนามว่า “รา เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจสูงสุดในสวรรค์
      ต่อมาพวก ปารซี ที่นับถือลัทธิบูชาไฟ  ก็ยกย่องอาทิตยเทพว่า ทรงมีมหิทธานุภาพสูงสุด  ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเนื่องด้วยประเทศต่าง ๆ อันก้าวพ้นจากสมัยหินขึ้นมา  มีชีวิตความเป็นอยู่ด้วยการเกษตรกรรม หรือ กสิกรรม เป็นหลัก จำต้องอาศัยดิน ฟ้า อากาศ อันพอดีไม่แปรปรวน โดยเฉพาะพระสุริยเทพผู้ให้แสงสว่าง และความร้อนอันเหมาะสมกับฤดูกาล ทำให้พืชถึงกาลเวลางอกงามเต็มที่ มีผลิตผลอันไพบูลย์ เอามาใช้ดำรงชีวิตต่อไป  ดวงอาทิตย์ทำให้ต้นกล้าเจริญงอกงามเต็มที่ แล้วยังมีความร้อน ใช้ตากของต่าง ๆ  การรู้คุณของดวงอาทิตย์ว่ามีประโยชน์มหาศาลนี้เอง ทำให้มนุษย์เคารพพระอาทิตย์มากกว่าเทพองค์อื่น
ในพุทธประวัติตอนหนึ่ง เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูป ปางถวายเนตร ที่เป็นพระประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้ทรงเสด็จไปประทับยืน ณ กลางแจ้ง เบื้องทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยส้นพระบาททั้งสองชิด ปลายเท้าแยก ปล่อยพระกร (แขนทั้งสอง ไว้เบื้องหน้า ประสานพระหัตถ์ทั้งสองไว้ที่กลางลำพระองค์ โดยพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย ทรงทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร (ลืมตาตลอดเวลาเป็นเวลาถึง ๗ วันด้วยกัน สถานที่ประทับยืนนั้นได้มีนามปรากฎว่า "อนิมิสเจดีย์มาจนทุกวันนี้
จากพระอิริยาบถที่ประทับยืนดังกล่าว    ได้เป็นมูลเหตุที่ท่านโบราณาจารย์ได้คิดแบบอย่างสร้างองค์พุทธปฏิมากรในลักษณะนี้ขึ้น จะเรียกว่าเป็นการบังเอิญหรือไม่ก็ตามที  ดวงอาทิตย์ ในภูมิทักษานั้นท่านกำหนดให้อยู่ประจำ ณ ทิศอีสาน ทิศเดียวกับที่พระพุทธองค์ประทับยืน  ที่ทรงลืมพระเนตรตลอดนั้นคงจะเป็นด้วยพระองค์ ทรงมีพระประสงค์ที่จะนอบน้อมบูชาแด่ "ดวงอาทิตย์ ดังที่มีการขานพระนามพระปางนี้ว่า "ถวายเนตร
                พระสุริยเทพ  หรือ เทพเจ้าเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ของชาติต่าง ๆ มักมีปกติโคจร จากทิศตะวันออก มาสู่ทิศตะวันตก ใช้เวลาประมาณ ๑๒ ชั่วโมง ก็จะลับขอบฟ้า ต่อจากนั้นในเวลาเท่ากันก็จะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทางทิศตะวันออกอีก ได้โคจรเป็นนิจสินเช่นนี้ ชั่วนิจนิรันดร์  พระอาทิตย์ จึงได้ชื่อว่า เทพเจ้าผู้จรชั่วนิจนิรันดร์ ไม่เคยพักร์ (คือ เดินถอยหลัง) เหมือนดาวพระเคราะห์องค์อื่น ๆ ขนาดพญาวานรหนุมานชาญสมร ในเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ เหาะขึ้นไปเพื่อจะขอให้ท่านหยุดรถทรง หรือ การเคลื่อนที่ เพราะต้องการประวิงเวลา ในการที่จะต้องสรรหาตัวยา สังกรณีตรีชวา อันเป็นตัวยาสำคัญที่จะรักษาพระลักษณ์ให้หายขาด ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พระองค์ก็ยังทรงปฏิเสธ ไม่สามารถทำได้ แต่ก็ทรงพระกรุณาขับรถทรงเข้าไปในหมู่เมฆ เพื่อให้บดบังลำแสงของพระองค์ ทำให้ดูเหมือนสว่างช้า เป็นการช่วยเหลือพระลักษณ์ทางอ้อม
                พระอาทิตย์ เป็นพระเอกบนท้องฟ้าในยามกลางวัน  ส่วนพระจันทร์นั้น จะคือนางเอกของสวรรค์ในภาคกลางคืน  พระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตรกรรม และการครองชีพในกลางวัน  พระจันทร์ก็เช่นเดียวกัน เป็นนางเอกแห่งท้องนภากาศ อันมืดมิดสนิทของราตรีกาล เป็นที่นับถือกันในระหว่างพวกโจร หรือ พวกมิจฉาทิฐิ และพวกเดินทางกลางคืน ที่ต้องอาศัยแสงจันทร์

"ขนมไหว้พระอาทิตย์"            
  
"แด่สุริยเทพ"